หน้าเว็บ

Sunday, October 26, 2014

ศธ.เล็งสร้างระบบควานหาเด็กอัจฉริยะ

ศธ.เล็งสร้างระบบควานหาเด็กอัจฉริยะ

UploadImage
 
   พล.ร.อ.ณรงค์  พิพัฒนาศัย  รมว.ศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า จากการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการร (ศธ.) เมื่อเร็วๆนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นเจ้าภาพหลักในการดูแลเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิชาการ ดนตรี และศิลปะ  หรือเด็กอัจฉริยะที่อยู่ในวัยเรียน  เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานหลักที่จะเป็นเจ้าภาพดูแลเด็กเหล่านี้ และเด็กกลุ่มนี้กระจัดกระจายอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานอื่นๆทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงมูลนิธิต่าง ๆ  อาทิ มีนักเรียนไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการก็อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) ที่ให้การสนับสนุนทุนการศึกษา แต่ก็ยังไม่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงเห็นว่า ศธ.ควรจะเป็นเจ้าภาพหลักดูแลเด็กเหล่านี้ รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพถึงที่สุด เพราะหากเด็กที่มีความสามารถพิเศษกลุ่มนี้ได้รับการพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง เราก็จะได้บุคลากรที่มีคุณภาพมาช่วยพัฒนาประเทศในอนาคตด้วย

   “ปัจจุบันยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลเด็กกลุ่มนี้ไว้อย่างชัดเจนว่าแต่ละคนอยู่ที่ไหนบ้าง จึงได้มอบให้สกศ. ไปรวบรวมข้อมูลเด็กเหล่านี้ ในทุกภาคส่วน เพื่อจะได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการติดตามตัวเด็ก พร้อมส่งเสริมให้พัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง และหากพบว่าเด็กรายใดมีปัญหาต้องการความช่วยเหลือ เช่น ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการศึกษาต่อ ศธ. ก็จะเข้าไปช่วยในเรื่องนี้ให้ โดยอาจใช้วิธีมอบทุนการศึกษา หรือเจรจากับสถานศึกษาที่เด็กเรียน เพื่อจัดหาทุนการศึกษาให้ ทั้งนี้หลังจากสำรวจข้อมูลและจัดระบบในการดูแลเด็กที่มีความสามารถพิเศษแล้ว ศธ. จะคิดรูปแบบกิจกรรม สำหรับค้นหาเด็กที่มีความสามารถพิเศษที่ยังซ่อนอยู่ในภาคส่วนต่าง ๆ ต่อไปด้วย" รมว.ศธ.กล่าว

ขอบคุณ  เดลินิวส์
ที่มา http://www.enn.co.th/11152.html

Saturday, October 25, 2014

ผลวิจัยชี้ "ครู"คุณภาพส่งผลให้"เด็ก"เรียนดี

ผลวิจัยชี้ "ครู"คุณภาพส่งผลให้"เด็ก"เรียนดี

          ผลศึกษาวิจัยเรื่อง ผลกระทบระยะยาวของบุคลากรครู อาจารย์ : การศึกษามูลค่าเพิ่มทางวิชาการของวิชาชีพครูต่ออนาคตของนักเรียนเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ของ สำนักงานการวิจัยด้านเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ ได้ทำการเก็บข้อมูลจากนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวนถึง 2.5 ล้านคน
          เป็นระยะเวลากว่า 20 ปี พบว่าคุณภาพด้านวิชาการของบุคลากรวิชาชีพครู อาจารย์ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประสบความสำเร็จของลูกศิษย์ หลังจากนักเรียนได้รับคำแนะนำในการศึกษาเล่าเรียน และติวเข้มจากบุคลากรครูที่มีมาตรฐานวิชาการสูง ส่งผลให้คะแนนข้อสอบวัดระดับมาตรฐานเพิ่มขึ้น
          ไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จในการเรียนการศึกษามากกว่านักเรียนโดยเฉลี่ยแล้ว แต่นักเรียนเหล่านี้ยังมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ได้เงินเดือนที่สูงและยังมีสถิติในการตั้งครรภ์ในช่วงวัยเรียนน้อยอีกด้วย
          ราช เชตตี้ และ จอห์น ฟรีดแมน นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ โจนาห์ ร็อกคอฟ จาก มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้มุ่งเน้นการศึกษามูลค่าเพิ่มทางวิชาการของวิชาชีพครู อาจารย์ (Value-Added) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ประเมินคุณภาพของบุคลากรครู โดยคะแนนข้อสอบของนักเรียนแต่ละคนที่ครูสอน ถูกนำมาใช้เป็นดัชนีชี้วัดมูลค่าเพิ่มด้านวิชาการของครูแต่ละคน ซึ่งโรงเรียนในลอสแองเจลิส และ วอชิงตัน ดี.ซี. ก็เริ่มมีการนำดัชนีดังกล่าวมาประเมินมูลค่าเพิ่มด้านวิชาการของครูแล้ว ขณะที่ยังมีข้อถกเถียงที่ว่าคะแนนสอบของนักเรียนอาจไม่ใช่ตัวประเมินคุณภาพวิชาการของครูที่ดีก็เป็นได้
          งานศึกษาครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงแรก คือ การเฝ้าติดตามเด็กนักเรียนในเขตเมืองใหญ่ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 4 (Grade 4) ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ทำงาน จำนวน 1 ล้านคน เพื่อทดสอบความถูกต้องแม่นยำในการประเมินมูลค่าเพิ่มทางวิชาการของครู
          การศึกษานี้พบว่าคะแนนสอบของนักเรียนที่สอนโดยครูที่ได้รับการประเมินว่ามีมูลค่าเพิ่มทางวิชาการจะมีคะแนนสอบเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน และคะแนนสอบโดยเฉลี่ยของนักเรียนจะลดลงทันทีเมื่อครูท่านนั้นไม่ได้สอนเด็กเหล่านั้นต่อ คะแนนสอบจะสูงขึ้นเฉพาะวิชาที่ครูท่านนั้นสอนเท่านั้น


          ช่วงที่สองของการศึกษาเป็นขั้นตอนการวิเคราะห์คำถามวิจัยที่ว่า ครูที่มีมูลค่าเพิ่มด้านวิชาการในระดับสูงจะสามารถพัฒนาอนาคตของนักเรียนในระยะยาวหรือไม่ ซึ่งพบว่านักเรียนที่ได้เรียนกับครูที่มีมูลค่าเพิ่มด้านการวิชาการมากจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในหลายๆ ด้าน เช่นนักเรียนเหล่านี้สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ มีเงินเดือนที่ดีเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี นอกจากนี้เด็กเหล่านี้มีแนวโน้มตั้งครรภ์ในช่วงวัยรุ่นน้อยกว่าด้วย
          การศึกษาในครั้งนี้ยังแสดงผลกระทบของครูต่อนักเรียนอย่างชัดเจน และยังโยงไปถึงบริบทด้านเศรษฐศาสตร์ด้วยว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยครูที่มีมูลค่าเพิ่มด้านวิชาการจะช่วยให้นักเรียนมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มถึง 52,000 ดอลลาร์สหรัฐ และ มากกว่า 1.4 ล้านดอลลาร์ เมื่อรวมกันชั้นเรียน
          นอกจากนี้ในภาพรวมการศึกษายังแสดงให้เห็นว่าครูที่มีความรู้ความสามารถด้านวิชาการที่ส่งผลให้คะแนนสอบของนักเรียนดีขึ้น ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งที่วัดมาตรฐานด้านวิชาการของครูบาอาจารย์เองด้วย
          สามารถชี้วัดได้ถึงรายได้ของนักเรียนที่ได้เรียนกับครูที่มีมูลค่าเพิ่มด้านวิชาการสูงโดยได้เงินเดือนสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1% ในทุกระดับชั้น ซึ่งวัดจากรายได้ของนักเรียนเมื่อช่วงอายุ 28 ปี และยังทำให้นักเรียนมีรายได้รวมทั้งระดับชั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ
          สรุปได้ว่าบุคลากรครูที่มีคุณภาพด้านวิชาการสามารถสร้างคุณค่าเศรษฐกิจ และการวัดผลคุณภาพด้านวิชาการผ่านคะแนนสอบก็เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการประเมินผลคุณภาพด้านวิชาการของบุคลากรครูเหล่านี้ได้
          ส่วนในประเทศไทยเอง แม้จะไม่มีการศึกษาที่มีความต่อเนื่องและชัดเจนว่าผลจะเป็นอย่างที่ สำนักงานการวิจัยด้านเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ ได้ทำการศึกษาหรือไม่ แต่ก็เชื่อว่าในความเป็นจริงแล้ว หากครูซึ่งถือเป็นผู้ให้วิชาความรู้ และการอบรม ดูแล สั่งสอนเด็กอย่างมีคุณภาพ ก็ย่อมส่งผลให้เด็กเหล่านั้นมีผลการเรียนที่ดีไปด้วย
          อาจารย์นพพร สุวรรณรุจิ อดีตผู้ตรวจราชการ กระทรวงศึกษาธิการ และประธานคณะทำงานยกร่างหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือกครูสอนดี สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) อธิบายว่า นักการศึกษาส่วนใหญ่ยอมรับว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กก็คือคุณภาพของครูแน่นอน ซึ่งถ้าครูมีขวัญกำลังใจ มีใจในการทำงานและ ยังมีไฟในการสอนหนังสือเด็ก ต้องส่งผลต่อคุณภาพของเด็กอยู่แล้ว


ที่ผ่านมา มีการยกย่องครูผ่านโครงการครู
สอนดี ซึ่งส่วนใหญ่มีการเสนอชื่อครูจาก ผู้อำนวยการโรงเรียน แต่ในโครงการครูสอนดี ไม่ต้องสมัครเข้ามา แต่จะให้ทั้งผู้บริหารโรงเรียน ครูในโรงเรียน เด็กนักเรียน ผู้ปกครองและชุมชนเป็นผู้เลือก ซึ่งในความหมายของครูสอนดีของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ก็ต้องมาถามความเห็นกันแต่ละฝ่ายเพราะยึดหลักของการมีส่วนรวม และการคัดเลือกครูดีเด่นของแต่ละโรงเรียนไม่เคยใช้มาก่อน
          เด็กนักเรียนคือผลผลิตของครู ดังนั้น เขาจึงมีสิทธิที่จะเลือกได้ว่า ใครคือครูที่เขาคิดว่าดี ซึ่งเด็กแต่ละคนอาจจะมีความเห็นที่ต่างกันก็ได้ แต่ท้ายที่สุดต้องมาจบที่กระบวนการมีส่วนร่วม และต้องมาคุยกันทุกฝ่าย เมื่อเลือกครูสอนดีได้แล้วจะต้องให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม
          เธอบอกว่า โครงการนี้อาจจะไม่ใช่แค่การได้มาซึ่งครูสอนดีที่มาจากแต่ละโรงเรียนแล้วมามอบรางวัลให้เพียงอย่างเดียว แต่ในอนาคตหากยังมีการดำเนินโครงการอย่างนี้ต่อเนื่อง ก็จะยิ่งทำให้ทั้งผู้บริหารโรงเรียน นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชนได้มีมุมมองใหม่ๆ มีวิธีคิดที่โรงเรียนก็จะปรับตัวเข้าหาชุมชนมากขึ้น
          อนาคตชุมชนก็จะมีครูดีศรีชุมชนด้วย ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี โดยเปิดให้โรงเรียนทุกสังกัดได้เข้าร่วม ในรุ่นแรกได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกจากชุมชนในทุกตำบล และทุกจังหวัดทั่วประเทศมาแล้ว ได้ครูสอนดีจำนวน 18,878 คน คาดว่าในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้จะมีการมองรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติให้กับครูสอนดีเหล่านั้นด้วย
          อาจารย์นพพร ยังกล่าวอีกว่า ได้ไปสังเกตเรื่องการเรียนการสอนของโรงเรียนในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้ติดตามประเมินโครงการ ได้ฟังครูแต่ละโรงเรียนได้แสดงความเห็นว่า รางวัลครูสอนดีไม่ว่าครูคนไหนจะได้รับ ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่ได้รู้ว่าเด็กนักเรียนของตัวเองคิดอย่างไรกับครูแต่ละคน เพื่อนำมาปรับปรุงการเรียนการสอน ให้เด็กได้รับการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ซึ่งพวกเขามองว่าการจะเป็นครูที่ดีก็ไม่ได้มาทำงานเพียงแค่หวังรางวัลเท่านั้น แต่ความหมายของครูที่ดีมันมีมากกว่ารางวัลทุกรางวัลที่ได้มาด้วยซ้ำ
          แม้ว่า โครงการครูสอนดี จะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพทางการศึกษาของเด็กที่ชัดเจนมากนัก แต่รางวัลครูสอนดีก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนในอนาคตที่จะผลักดันให้ผู้ที่จะมาประกอบวิชาชีพครูได้ตระหนักถึงความหมายของครูที่มีจิตวิญญาณอย่างแท้จริง--


ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Thursday, February 16, 2012           
เสาวนีย์ นิ่มปานพยุงวงศ์
 

ทำความรู้จักห้องสมุดดิจิตอล (Digital Library)



 
โดย คณะทำงานโครงการห้องสมุดดิจิตอลเพื่อการเรียนรู้ สสค. (www.thai-library.org) 
 
ห้องสมุดดิจิตอล หมายถึง ห้องสมุดที่ต้องการเทคโนโลยีเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงแหล่งสารสนเทศที่อยู่    หลายๆ แหล่งและการเชื่อมโยงนั้นต้องไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ใช้และสามารถเข้าถึง ทรัพยากรสารสนเทศได้อย่างกว้างขวางเป็นสากล คอลเลคชั่นที่เก็บไม่จำกัดเฉพาะเอกสาร แต่ยังครอบคลุมถึงวัสดุดิจิตอลอื่น ๆ ที่สร้างขึ้น ซึ่งไม่อยู่ในรูปแบบของสิ่งพิมพ์ องค์ประกอบของห้องสมุดดิจิตตอล ได้แก่ ส่วนเชื่อมต่อ ผู้ใช้ (User interface) ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนสำหรับผู้ใช้และส่วนสำหรับผู้ควบคุมโดยผู้ใช้สามารถใช้เว็บบราวเซอร์ในการติดต่อกับส่วนบริการผู้ใช้ได้
 
ชอง เปียเจีย์ (Jean Piaget) นักจิตวิทยาผู้ริเริ่มการปฏิวัติวิธีการเรียนรู้ภายใต้ทฤษฎี Constructivism มีความคิดว่า “เด็กๆ ไม่ใช่ท่อที่ว่างเปล่าที่ผู้ใหญ่จะเทข้อมูลและความรู้ต่างๆ เข้าไป เด็กคือผู้สร้างความฉลาดและการเรียนรู้ ของเ ขาเ อง” นั่ นหมายความว่ าเ ด็ กๆ มีความสามารถในการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวและสภาวการณ์ต่างๆ ที่เด็กเข้าไปเกี่ ยวข้องด้วย ซึ่งล้วนแต่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เด็กต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่ทรงอิทธิพลอย่างอินเทอร์เน็ตและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาหลากหลายรูปแบบแวดล้อมอยู่อย่างเป็นระบบ บางครั้งจึงถูกเรียกว่าระบบนิเวศน์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronicsecosystem) ทั้งนี้นักอนาคตศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่าในปี คริสตศักราช 2016 ร้อยละ 90 ของคนทั่วโลกแม้จะอยู่ในถิ่นทุรกันดารก็จะมีอินเทอร์เน็ตใช้ (จุฬากรณ์มาเสถียรวงศ์, 2547) ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำาคือการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ดีและจัดวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก สำหรั บสิ่ งแวดล้อมของการเรี ยนรู้โดยทั่ วไปประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำาคัญได้แก่ ส่วนแรกคือผู้เรียนซึ่ งเป็นผู้ ที่ต้องการเรี ยนรู้ เพื่ อบรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พัฒนาตนเอง พัฒนาวิชาชีพ เพื่อความบันเทิง เป็นต้น ส่วนต่อมาคือแหล่งการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าถึงความรู้ เช่น แหล่งธรรมชาติ องค์ความรู้ของบุคคล แหล่งที่จัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ไว้อย่างเป็นระบบ เป็นต้น และส่วนสุดท้ายคือวิธีการเรียนรู้ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำาให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จนก่อให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในตนเองขณะเดียวกันการพัฒนาทาง  เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่ อสาร (ไอซีที) ได้ส่งผลกระทบต่อการศึกษาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะการลดข้อจำากัดทั้งด้านระยะทางและเวลาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีของการเรียนรู้ (ยืน ภู่วรวรรณ, 2547) มีแนวโน้มที่เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้หลายอย่างจะถูกผนวกเข้าด้ วยกั น ( Conv er ganc e)  อั นจะ นำ า ไ ปสู่ กา ร พั ฒนานวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น (Hasegawa,& Kashihara, 2002; Marshallet al., 2003; He et al., 2004; Jayaprakash, 2006)จึงมีคำาถามสำาคัญว่าจะบูรณาการเทคโนโลยีอย่างไรที่จะนำไปสู่การพัฒนาระบบห้องสมุดดิจิตอลที่ ส่งเสริมศักยภาพในการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้ 
 
ความหมายและความสำคัญของห้องสมุดดิจิตอลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก


 
ก่อนเข้าสู่เนื้อหาในรายละเอียดผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านได้มีความเข้าใจในเรื่องของการให้คำานิยามเกี่ยวกับห้องสมุดดิจิตอล และได้เห็นถึงความสำาคัญของห้องสมุดดิจิทัลต่อการพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเด็กซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
1.1 ความหมายและลักษณะของห้องสมุดดิจิตอล (Digital library)
 
ในปี ค.ศ. 1999 วัทสเตนและคณะ (Watstein,et al.) ค้นพบว่ามีคำาศัพท์ที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับ“Digital library” ได้แก่ Traditional library, Paperlesslibrary, Data warehousing, Library without walls, Library of the future, Electronic library, Online library,Virtual library, World Wide Web, Digital library,Digital research library และ Digital archive จากการค้นพบนี้ น้ำทิพย์ วิภาวิน (2542) อธิบายว่า “ห้องสมุดดิจิตอล (Digital Library)”  เป็นคำาที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะให้ความหมายที่กว้างกว่าคำาว่า ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Library) และห้องสมุดเสมือนจริง (Virtual Library) เนื่องจากคำาว่าอิเล็กทรอนิกส์โดยมากเน้นที่เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดการกับสารสนเทศส่วนคำาว่า เวอร์ชวล (Virtual) เน้นที่สภาวะเสมือนจริงที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่ทางกายภาพ ขณะที่คำาว่า ดิจิตอล หมายถึง สารสนเทศที่อยู่ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ต่อมา Seadel and Greifeneder (2007) ได้พยายามอธิบายความหมายของ “ห้องสมุดดิจิตอล” ด้วยการศึกษาเปรียบเทียบจากหลายที่มา ได้ผลการวิจัยจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกให้ความหมายว่าห้องสมุดดิจิตอลเกิดจากเอกสารดิจิตอลที่ต้องจัดการด้วยกระบวนการมาตรฐานของห้องสมุดทั่วไป (การรวบรวมการจัดหมวดหมู่ และการเตรียมการเข้าถึง) และสร้างให้เข้าถึงแคทคาล็อก (Catalog) ด้วยระบบออนไลน์ กลุ่มถัดมาให้ความหมายว่า ห้องสมุดดิจิตอลคือ โปรแกรม(Software) ที่บรรจุข้อมูลพื้นฐาน (Primary data) และจัดเก็บด้วยเมทาดาต้าที่สร้างหรือตรวจทานด้วยมือ ข้อมูลดังกล่าวจำาต้องมีการรวบรวม จัดระบบ และบำารุงรักษาอย่างดี ด้วยภาระหน้าที่หลักเช่นเดียวกับห้องสมุดปกติ3 อย่าง ได้แก่ การแคทตาล็อก การจัดเก็บเอกสารในระยะยาว และการเข้าถึงเอกสาร และกลุ่มที่สุดท้ายให้ความหมายว่า ห้องสมุดดิจิตอลคือ การจัดหาเอกสารดิจิตอลในการเชื่อมโยงบริการออนไลน์ สร้างขึ้นบนหน้าที่หลักของห้องสมุดทั่วไป โดยให้การบริการเข้าถึงแหล่งรวบรวมผ่านอินเทอร์เน็ตสำหรับบทความนี้ต้องการความเข้าใจที่ตรงกันด้วยการปรับปรุงจากความหมายของ Waters (1998)ว่า ห้องสมุดดิจิตอล หมายถึง การจัดระบบที่จัดเตรียมทรัพยากร รวมทั้งคณะทำางานทเชี่ยวชาญ การเลือกสรรการจัดโครงสร้าง การจัดการให้เข้าถึงสารสนเทศอย่างชา ญฉลา ด กา ร แปลควา มหมา ย กา ร แพร่ กร ะ จา ยสารสนเ ทศ การรั กษาความสมบู รณ์ การรั บประกั นการคงอยู่ ขณะที่ทำาการรวบรวม และมีความพร้อมใช้ในเชิงเศรษฐศาสตร์สำาหรับการใช้งานที่กำหนดโดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับการให้การศึกษาและส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก



 
1.2 ความสำคัญของห้องสมุดดิจิทัลต่อการพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเด็ก
 
กระบวนการเรียนรู้ในวัยเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่เนื่องจากทัศนะและการมองโลกแตกต่างกันผู้ใหญ่ไม่ควรใช้ทัศนะแบบเดียวกันสำหรับเด็กเพราะจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็ก (พร พันธุ์โอสถ, 2543)โดยเด็กในช่วงเริ่มต้นถึงเจ็ดขวบยังมีความสามารถพัฒนาการเรียนรู้แบบเชาว์ปัญญาและนามธรรมได้น้อยจึงสนใจที่จะลงมือทำด้วยตัวเองหรือปฏิบัติผ่านลักษณะที่ เป็นรู ปธรรมมากกว่า ต่อเมื่อเข้าสู่ ช่วงวัย 7-14 ปี เด็กจึงจะค่อยๆ เข้าใจและพัฒนาการเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ จากการเรียนรู้ โดยได้ลงมือกระทำาอย่างสม่ำเสมอจะนำไปสู่ความเคยชินในการปฏิบัติ ดังนั้นสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กในช่วงวัยนี้จึงต้องเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี เพราะจะเป็นพื้นฐานสำาคัญต่อการพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ต่อไป โดยห้องสมุดดิจิตอลจะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่เด็ก สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในบริบทของการเรียนรู้ร่วมกันเช่นห้องสมุดดิจิตอลนี้มีรากฐานมาจากทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructivism) ของ เพียเจต์ (Piaget) ที่มุ่งศึกษาว่าความรู้คืออะไรและความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยมุ่งความสนใจที่การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างความรู้เก่ากับความรู้ใหม่ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมทั้งบุคคลที่มีการสื่อสารกันทั้งต่อหน้าและผ่านอินเทอร์เน็ต ต่อมาศาสตราจารย์ซีมัวร์ แพพเพิท(Seymour Papert) แห่ง MIT ได้พัฒนาทฤษฎีเพิ่มเติมเป็น Constructionism ที่เน้นศิลปะการเรียนรู้หรือการเรียนรู้ด้วยการสร้างบางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายต่อตนเองขึ้นมา โดยให้ความสำคัญกับเครื่องมือ สื่อ และบริบทของการพัฒนามนุษย์ (บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์, 2548)ซึ่งมีส่วนประกอบสำาคัญ 3 ประการ คือ การมีทางเลือกที่หลากหลายในการเข้าถึงความรู้ การมีความหลากหลายทั้งในแง่บุคคลและรูปแบบ และการมีความเป็นกันเองของชุมชนการเรียนรู้ในห้องสมุดดิจิตอล ซึ่งเฉพาะส่วนประกอบดังกล่าวนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องการการค้นหาจากการวิจัยและพัฒนาต่อไป ห้องสมุดดิจิตอลนอกจากจะเป็นการจัดเตรียมทรัพยากรและกิจกรรมการเรียนรู้สำาหรับเด็กแล้ว ยังต้องคำานึงถึงโอกาสในการได้รับประสบการณ์ที่สนุกสนานของการเข้าถึงองค์ความรู้และต้องประกอบด้วยกิจกรรมที่ส่งเสริมจินตนาการของเด็กด้วย (IFLA, 2003) โดยห้องสมุดดิจิตอลที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้สำาหรับเด็กประกอบด้วยลักษณะสำาคัญ 5 ประการ ได้แก่ ประการแรกเป็นการนำไอซีทีมาใช้เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเพื่อให้เด็กรู้จักวิธีการเรียน (Learn how tolearn) อันจะนำาไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต ประการถัดมาเป็นระบบเครือข่ายการเรียนรู้ ที่จัดให้มีแหล่งความรู้ ที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันประการที่สามเป็นการปรับกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ครูเป็นผู้อำานวยความสะดวกและชี้แนะโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเครือข่ายการเรียนรู้เป็นเครื่องมือประการที่สี่เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันซึ่งก่อให้เกิดการสร้างสรรค์องค์ความรู้ และประการสุดท้ายเป็นการเรียนรู้ด้วยสื่ออิเล็กทร อนิกส์ที่หลากหลายเพื่อก่อให้เกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้ (น้ำทิพย์ วิภาวิน, 2542)      
 
1.3 รูปแบบฐานข้อมูลสำหรับห้องสมุดดิจิตอล 


 
ฐานข้อมูลสื่อผสม (Multimedia database) ใช้ในการนำเสนอสารสนเทศที่ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ และประกอบด้วยสื่อหลาย ๆ แบบ 
 
ฐานข้อมูลเต็มรูปแบบ (Full-text database) เป็นลักษณะฐานข้อมูลที่บันทึกเรื่องราวทั้งหมดเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูป แบบที่เครื่องอ่านได้ เมื่อต้องการใช้ก็สามารถเรียกข้อมูลขึ้นมาอ่านได้เหมือนกับการอ่านหนังสือ ทั้งเล่ม 
 
ฐานข้อมูลภาพลักษณ์ (Image database) เป็นฐานข้อมูลเต็มรูปชนิดหนึ่งผลิตได้จากการใช้เครื่องสแกนเนอร์อ่านเอกสาร หรือสารสนเทศใด ๆ หรือใช้กล้องถ่ายรูป หรือวีดิทัศน์ภาพถ่ายต่าง ๆ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
 
1.4  รูปแบบการจัดการฐานข้อมูลของห้องสมุดดิจิตอล
 
รูปแบบการจัดการฐานข้อมูลของห้องสมุดดิจิตอล ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ทรัพยากรสารสนเทศที่อยู่ในรูปวัสดุสิ่งพิมพ์และทรัพยากรสารสนเทศที่อยู่ใน รูปวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทรัพยากรทั้ง 2 ส่วนนี้อาจมาจากแหล่งภายนอก หรือ มาจากแหล่งภายในของห้องสมุดดิจิตอลเอง ทรัพยากรสารสนเทศที่อยู่ในรูปวัสดุสิ่งพิมพ์จะต้องผ่านกระบวนการแปลง สารสนเทศจากวัสดุสิ่งพิมพ์ให้อยู่ในรูปของดิจิตอล โดยอาจจะสแกนแล้วแปลงเป็นตัวอักษรด้วยซอฟต์แวร์ประเภท Optical Character Recognition เพื่อให้สามารถนำข้อมูลออกมาใช้ในลักษณะของตัวอักษรได้ ส่วนทรัพยากรสารสนเทศที่อยู่ในรูปวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสารสนเทศที่อยู่ในรูปดิจิตอลแล้ว แต่อาจมีการจัดเก็บในรูปแบบที่แตกต่างกัน ต้องทำการแปลงวัสดุอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบที่ห้องสมุด ดิจิตอลนั้น ๆ จะสามารถรองรับได้


 
เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่และการเรียนรู้ตลอดชีวิต สสค. ได้พัฒนาห้องสมุดดิจิตอลเพื่อการเรียนรู้นำร่องขึ้น ขอเชิญชวนท่านทุกท่านเข้าใช้งานได้ที่ www.thai-library.org  โดยมีสื่อสารเรียนเรียนออนไลน์ที่หลากหลาย เช่น
  • วรรณกรรมสำหรับเด็ก
  • วีดีทัศน์
  • e-books  จำนวนกว่า 5,000 เล่ม
  • e-learning  จำนวนกว่า 2,000 บทเรียน ที่นักวิจัยได้คัดสรรว่าจะส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กได้เป็นอย่างดี โดยแบ่งมีครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ ภาษาต่างประเทศ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคมศึกษา สุขศึกษาและพละศึกษา ศิลปะ และการงานอาชีพและเทคโนโลยี
  • ระบบฐานข้อมูล e-exam การแข่งขันโครงการเพชรยอดมงกุฏ ที่นักเรียนที่สนใจสามารถทดลองทำข้อสอบได้ ฟรี 

การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

 

 

ทักษะ

การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

 

 

สถานการณ์ของโลกในศตวรรษที่ 21 แตกต่างจากศตวรรษที่ 20 และ19 เป็นอย่างมาก มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี รวมถึงสิ่งแวดล้อม การศึกษาจึงต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับความเป­็นจริงเหล่านี้ ดังนั้นทักษะแห่งอนาคตใหม่ หรือ 21st century skills จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 3 ด้าน คือ
1. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning skill and Innovation)
2. ทักษะชีวิตและการประกอบอาชีพ (Life skill and career skill)
3. ทักษะด้านข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร เทคโนโลยี (Information and Technology skill)

Sunday, July 7, 2013

Leaning English : Noun

           

  Noun  (คำนาม)

               คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้

                                   1. Common Nouns 
                                   2. Proper Nouns
                                   3. Abstract Nouns
                                   4. Collective Nouns
                                   5. Material Nouns
                                   6. Concrete Nouns
                                   7. Mass Nouns
1.Common Noun (นามทั่วไป)

                 เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น 


สิ่งของ          boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
สถานที่         city, hill, road, stadium, school,company
เหตุการณ์      revolution, journey, meeting
ความรู้สึก      fear, hate, love

เวลา              year, minute, millennium
Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )

2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ )  
              เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
                    ชื่อคน (Person Name) เช่น   Mary , Tom, Tick
               ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น   Australia,Bangkok, Sukhumvit Road, Toyota

               ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas

Australia
Tom
3.Abstract Nouns   
            เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆ
Abstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract Nouns
ที่มาจากคำกริยา 
Abstract  Nouns
ที่มาจากคำคุณศัพท์
Abstract Nouns
ที่มาจากคำนาม
decision - to decide
beauty - beautiful
infancy - infant
thought  - to think
poverty - poor
childhood - child
Imagination - to imagine
vacancy - vacant
friendship - friend
speech - to speak
happiness - happy

growth - to grow
wisdom - wise



4.Collective Nouns
           เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้   ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่น
เอกพจน์ : The average British family has 3.6 members
              ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน 
พหูพจน์:   The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง (ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว จึงใช้กริยา  เป็นพหูพจน์ )

เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ
              (ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)
พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.
             คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำอะไร(กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้ง             คณะจึงเป็นพหูพจน์ )

     Collective noun  บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น   people, police, cattle
     นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + common noun ตัวอย่างเช่น  
a bunch of flowers


     a flock of sheep                   a pack of cards      

     a herd of cattle                    a bunch of flowers

     a fleet of ships                     a kilo of pork

     a group of students              a flock of birds





5.Concrete Nouns


               เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.


6.Material Nouns 
           เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น
           ธาตุ: iron, gold, air, copper
            สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth
            ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk
            อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad 
 Material Nouns   มีการแสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity)  เช่น
a loaf of bread

           a bowl of rice                 two glasses of water
           five bottles of beer        a loaf of bread
           a slice of pizza               a cup of tea 
           a piece of paper            a quart of milk
           three bars of soap        two boxes of cereal



7. Mass nouns
             เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy
มีลักษณะดังนี้ คือ
      1. จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์ 
            2. ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
                   Blood is thicker than water. เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable)
                   Depression
 often affects women immediately following the birth of their babies. ผู้หญิงมักมี
                   อาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns)

สรุป
              คำนามมี ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้    โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns  และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns







Nouns
ประเภทคำนาม
ประเภทย่อย
ประเภทย่อย
ตัวอย่าง
Proper nouns


 John, London
Common nouns
Countable nouns
Concrete
 chair,book,student
Collective nouns
 two flocks of birds ,people
Uncountable Nouns
Concrete nouns
 ice cream,oil,water
Mass Nouns
 furniture,money,honesty
Material nouns
 water,bread,oxygen,gold
Abstract nouns
 honesty, friendship,honesty





แหล่งอ้างอิง : 
http://en.wikipedia.org/wiki/Noun

                      http://ict.moph.go.th/English/content/nouns01.htm